Page 57 - เบญจมาศ คุชนี โรคเบาหวานและคุณประโยชน์ของผักพื้นบ้านไทย 2565
P. 57

44 | เ บ ญ จ ม า ศ  คุช นี    โ รคเบาหวานและคุณประโยชน์ของผักพ้นบ้านไทยในผ้ป่วยโ รคเบาหวาน | 45 | 45
                                                                       ู
                                                          ื
                                                        ื ก พ น บ้ าน ไท ย ใ น ผู ป่ ว ย โ ร ค เ บ าห ว าน
                     โรค เ บ า ห ว า น แ ล ะ คุ ณ ป ระ โย ช น ข อ ง ผั
                                                  ์
                                                                       ้
                                                          ้


 เภสัชจลนศาสตร์      3)  ผู้ป่วยโรคตับหรือโรคไตเพราะท้าให้ขับยาออกจากร่างกายได้ช้า อาจท้าให้เกิด
                  ระดับน้้าตาลในเลือดต่้าได้ง่าย
 ่
 ุ
 ยากลมนถกดูดซึมผานเขาทางเดินอาหารได้ดี แต่อาหารมผลลดการดูดซึมของยา   4)  ผู้ที่มีประวัติแพ้ยากลุ่ม sulfonamides เนื่องจากยามีโครงสร้างทางเคมีคล้ายกัน
 ี
 ้
 ี
 ่
 ้
 ู
 ั
 ิ
 ี
 ั
 ้
 ่
 ้
 ี
 ึ
 ดังนนจงต้องบรหารโดยใหยากอนอาหารประมาณ 30 นาท ยาเขาจบกบพลาสมาโปรตน  5)  การเจ็บป่วยที่รุนแรง ได้แก่ การติดเชื้อรุนแรง กล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial
 ั
 ้
 สูงถึง 90% ผ่านเมแทบอลิซึมที่ตับ และถูกขับออกทางปัสสาวะในรูปเมแทบอไลท์ ดังนั้น  infarction) การผ่าตัด ควรหยุดยารับประทานแล้วใช้การฉีดอินซูลินแทน
 ควรระวังการใช้ยาในผู้ที่มีการท้างานของตับและไตบกพร่อง ยาในรุ่นที่ 1 ออกฤทธิ์สั้น
 ประมาณ 6-12 ชั่วโมง แต่ยาในรุ่นที่ 2 ออกฤทธิ์ได้นานถึง 24 ชั่วโมง   อันตรกิริยาระหว่างยา

                     1)  ยากลุ่ม salicylates ยากลุ่ม sulfonamides และ clofibrate เนื่องจากยา
 ข้อบ่งใช้ทางคลินิก
                  เหล่านี้แย่งกับ sulfonylureas ในการเข้าจับกับพลาสมาโปรตีนท้าให้เกิดรูปอิสระของ
 ยากลุ่มนี้ใช้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 โดยอาจใช้เป็นยาเดี่ยว หรือใช้ร่วมกับ  sulfonylurea ในกระแสเลือดมากกว่าปกติ จึงท้าให้ระดับน้้าตาลในเลือดต่้าได้ง่าย
 ยากลุ่มอ่น เช่น biguanides, thiazolidinediones, DPP-4 inhibitors เป็นต้น ส่วนใหญ่  2)  ยากลุ่ม salicylates ยากลุ่ม sulfonamides, allopurinol และ probenecid
 ื
 ผู้ป่วยตอบสนองต่อยาได้ดีในช่วงแรก แต่เมื่อใช้ยาเป็นระยะเวลานานผู้ป่วยมักเกิดปัญหา  ยับยั้งการขับยาในกลุ่ม sulfonylureas ออกทางไต ท้าให้มีระดับ sulfonylureas  ใน
 การตอบสนองต่อยาลดลง ทงนอาจเกดจากเบต้าเซลลไมสามารถผลตอินซลนได้อีกแลว   กระแสเลือดสูง
 ิ
 ้
 ี
 ์
 ้
 ิ
 ู
 ่
 ิ
 ้
 ั
 ยานี้ใช้ไม่ได้ผลกับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1  เพราะเบต้าเซลล์ถูกท้าลายไปแล้ว   3)  ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งการท้าลายของ sulfonylureas เช่น ยากลุ่ม monoamine
                  oxidase inhibitors (MAOIs) ยากลุ่ม H2-receptor antagonists
 อาการไม่พึงประสงค์
                                           (3-5)
                          2.1.3 Glitinides
 1)  ภาวะน้้าตาลในเลือดต่้า โดยฉพาะผู้สูงอายุ พบว่า chlorpropamide ท้าให้เกิด
 ความเสี่ยงต่อภาวะน้้าตาลในเลือดต่้ามากกว่า tolazamide และ tolbutamide   ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ repaglinide, nateglinide เป็นต้น

 ั
 ่
 ์
 2)  หากให้ chlorpropamide รวมกบแอลกอฮอลอาจเกดอาการ disulfiram-like   กลไกการออกฤทธิ์
 ิ
 reactions หรืออาการแพเหล้า เช่น หน้าแดง ปวดศีรษะ ใจสั่น มึนงง เป็นต้น อันเนื่องมา
 ้
 จากยาไปยับย้งการเปลี่ยนแปลงของแอลกอฮอล์ในร่างกาย ท้าให้เกิดการคั่งของสารที่  ยาออกฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งอินซูลินด้วยกลไกเดียวกันกับยากลุ่ม  sulfonylureas
 ั
                                                      ี
 เรียกว่า อะเซตัลดีไฮล์ (acetaldehyde) จึงท้าให้เกิดอาการดังกล่าว   แต่สูตรโครงสร้างทางเคมีของยากลุ่มนี้  ไม่ม  sulfur  เป็นส่วนประกอบ  (รูปที่  2-4)  จึง
 3)  เพิ่มความอยากอาหารมากขึ้น ท้าให้น้้าหนักตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในช่วงระยะแรก  สามารถใช้ได้ในผู้ที่แพ้ยากลุ่ม sulfonylureas

 ที่ได้รับยา             เภสัชจลนศาสตร์
 ิ
 4)  ภาวะดีซ่านที่เกดจากการอุดกั้นการไหลของน้้าดี (cholestatic jaundice)
                         ยาถูกดูดซึมผ่านทางเดินอาหารได้ดี ยาเมแทบอลิซึมโดยอาศัยเอนไซม์ CYP3A4 ที่
 ข้อห้ามใช้       ตับและขับออกทางน้้าดี repaglinide ออกฤทธิ์ได้เร็วภายใน 1 ชั่วโมง ใช้ส้าหรับควบคุม

 1)  ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1    ระดับน้้าตาลในเลือดหลังรับประทานอาหาร และออกฤทธิ์นาน 4-7 ชั่วโมง ยามีค่าครึ่งชีวิต
 2)  หญิงตั้งครรภ์ (ยาจัดอยู่ใน pregnancy category C) และหญิงให้นมบุตร เพราะ  ประมาณ 1 ชั่วโมง ส่วน nateglinide เป็นอนุพันธ์ของ D-phenylalanine ถูกดูดซึมผ่าน
 ยาสามารถผ่านรกและน้้านมได้   เข้าทางเดินอาหารได้อย่างรวดเร็วภายใน  20  นาที  ออกฤทธิ์ได้สูงสุดใช้เวลาน้อยกว่า  1
                  ชั่วโมง และออกฤทธิ์ได้นานถึง 4 ชั่วโมง ยาจับกับโปรตีนในพลาสมาได้สูงถึง 98% ในขั้นเม
                                                                                        ู
                  แทบอลิซึมยาอาศัยเอนไซม์ CYP2C9 เป็นหลักและ CYP3A4 เป็นเอนไซม์รอง และถกขบ
                                                                                          ั
   52   53   54   55   56   57   58   59   60   61   62